ภาษาไทยเป็นขุมคลังแห่งภูมิปัญญาของคนไทยทั้งชาติ เป็นเอกลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์ของอารยธรรมไทยที่โดดเด่นมาอย่างยาวนานแต่ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าภาษาไทยกำลังถูกลืมจากคนรุ่นใหม่ ดัชนีชี้วัดที่สำคัญประการหนึ่งก็คือ ผลสัมฤทธิ์ด้านการใช้ภาษาไทยของเด็กเยาวชนและนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ล้วนตกต่ำลงมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนและเป็นการตกต่ำลงอย่างต่อเนื่องจนน่าสังเกตเป็นพิเศษด้วยในรอบหลายปีที่ผ่านมา นอกจากนั้นแล้ว การใช้ภาษาไทยที่ผิดๆ ก็มีให้เห็นอยู่อย่างมากมายทั้งในสื่อมวลชน ในรัฐสภา ในเพลง ในละครโทรทัศน์ และในภาพยนตร์ รวมทั้งในวิถีชีวิตประจำวันของคนไทยเราเองที่ไม่สู้จะให้ความสำคัญกับการเขียน การพูด การสื่อสารให้ถูกต้อง รวมทั้งไม่มีค่านิยมในการศึกษาหาความรู้ที่ถูกต้องด้วย
ในรัฐสภาเราจะพบว่านักการเมืองหลายคนใช้ภาษาไทยไม่ถูก ออกเสียงคำต่างๆ ผิดอยู่เสมอ เช่น คมนาคม ออกเสียงเป็น “คม-นา-คม”, สัปดาห์ ออกเสียงเป็น “สับ-ปะ-ดา”, ประวัติศาสตร์ ออกเสียงเป็น “ประ-หวัด-สาด” คำเหล่านี้เราออกเสียงกันผิดๆ จนกลายเป็นคำ “ผิด” ที่ใช้จน “ถูก” (ถูกกับความนิยม จนราชบัณฑิตยสถานยังต้องอนุโลมตามในบางคำก็มี)
ในสื่อมวลชนก็เช่นเดียวกัน หากสังเกตให้ดีก็จะพบว่า ผู้ประกาศข่าวหลายคนนิยมใช้คำติดปากว่า “ในส่วนของ…” หรือ “ทางด้านของ…” จนได้ยินกันทุกวัน และดูเหมือนว่าจะนำไปใช้กับแทบทุกเรื่อง โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องเหมาะสม เรื่องอะไรๆ ก็ “ในส่วนของ… ทางด้านของ…” ไปเสียหมด หากท่านมีโอกาสดูรายการข่าวทางโทรทัศน์ ขอให้ลองสังเกตดูให้ดีเถิดว่าจริงหรือไม่เพียงไร
ในละครหรือการร้องเพลงของนักร้องวัยรุ่นในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นนักร้องที่มาจากการประกวดตามเวทีประเภทค้นฟ้าหาดาว หรือจากการปั้นโดยต้นสังกัดที่เราถือกันว่าเป็นค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ก็ตาม จะพบว่านักร้องวัยรุ่นจำนวนมากออกเสียงภาษาไทยไม่ชัดเจน โดยเฉพาะ ร ล ช ธ มักออกเสียงเพี้ยนจนน่าตกใจ เสียง ร เรือ ล ลิง นั้น ผิดกันจนเป็นเรื่องปกติไปแล้วก็ว่าได้ แต่เสียงที่ไม่น่าผิดจะและไม่น่าออกเสียงยากเลย ก็คือ ธ ธง นั้น นักร้องวัยรุ่นทุกวันนี้หลายคนกลับออกเสียงไม่ถูกต้อง ซึ่งไม่น่าจะเกิดจากการไม่รู้ แต่น่าจะเกิดจากค่านิยม “เอาอย่าง” โดยถือว่าการออกเสียงแปร่งๆ นั้นเป็นเรื่องทันสมัย เช่น ธ ก็ออกเสียงเสียดแทรกคล้ายเสียงตัว th ในภาษาอังกฤษ แทนที่จะออกเสียงว่า “เธอ” (“เทอ”) กันง่ายๆ ก็ไปออกเสียงให้ยากและแปร่งๆ เป็น “เซอ” เสียอย่างนั้น คำว่า “รัก” ก็ออกเสียงแปร่งๆ เป็น “ร้วก” เลยเพี้ยนเป็น “ร้วกเซอ” บางทีก็ชวนให้นึกว่านักร้องวัยรุ่นเหล่านั้นเป็นคนเก่งภาษาอังกฤษมาก จึงออกเสียงเหมือนกับเติบโตในวัฒนธรรมภาษาอังกฤษที่อักษรบางตัวเวลาออกเสียงต้องห่อและงอลิ้น บางตัวต้องดึงลิ้นออกมาแล้วรีบหดลิ้นพร้อมทั้งปล่อยเสียงออกมา แต่ลองสอบถามดูแล้ว โดยมากก็เด็กวัยรุ่นลูกข้าวเจ้าข้าวเหนียวของไทยแท้ๆ นี่เอง ชวนให้สงสัยว่านี่คงจะเป็นอาการเริ่มแรกของการป่วยด้วยการลืมกำพืดเป็นแน่ซึ่งโรคนี้ถ้าหากเป็นหนักถึงขั้นเรื้อรังแล้วอาจลุกลามกลายเป็นโรคขาดความภูมิใจในความเป็นไทยไปเลยทีเดียว
นอกจากวัยรุ่นไทยจะออกเสียงคำต่างๆ ผิดอย่างไม่น่าจะผิดแล้ว ในการสื่อสารด้วยการเขียนเดี๋ยวนี้ก็นิยมเขียนผิดๆ แต่ถือกันว่าเป็นเรื่องทันสมัยสำหรับคนรุ่นใหม่ (แม้นี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร แต่ก็อยากตั้งข้อสังเกตไว้ให้ร่วมกันพิจารณาถึงความคลี่คลายของการใช้ภาษา) ซึ่งจะเจอทั่วไปในช่องทางเครือข่ายสังคมอย่าง facebook, Twitter เป็นต้น เช่นคำว่า “แล้ว” ก็เขียนเป็น “แร้น” (เช่น รู้แร้น) “กู” เขียนเป็น “กรู” “ขออภัย” เขียนเป็น “ขออำภัย” หรือในกรณีที่ควรใช้ “คะ” ก็เขียนเป็น “ค่ะ” ในกรณีที่ควรเขียน “ค่ะ” ก็เป็น “คะ” นี่ยังไม่รวมถึงการนิยมใช้คำที่มาจากภาษาต่างประเทศปนกับคำในภาษาไทยอย่างไม่คำนึงถึงความเหมาะสมความควรอีกต่างหาก เช่น “โอเคตามนี้นะ” หรือ “งานนี้ไม่เวิร์คว่ะ” หรือ “ถ้าคิดถึงก็ส่งแมสเสจมาก็แล้วกัน” และ/หรือ “นับแต่นั้นมาผมก็รู้สึกกิลตี้มาตลอดเลย” เป็นต้น การใช้ภาษาไทยปนกับภาษาต่างประเทศนั้นไม่ใช่เรื่องเสียหาย ไม่ใช่ความผิดบาป ถ้าใช้อย่างรู้จักกาลเทศะและพอเหมาะพอดี ไม่มากเกินไปจนลืมไปว่าตัวเองกำลังสื่อสารอยู่กับใคร ในบริบทเช่นไร
การที่คนรุ่นใหม่ในแวดวงต่างๆ ไม่ระมัดระวังในการใช้ภาษาไทยนั้น ทำให้คุณค่าที่แท้จริงของภาษาไทยถูกลดทอนลงไปเป็นอันมาก คุณค่าประการหนึ่งซึ่งถูกลดทอนก็คือ “คุณค่าด้านสุทรียภาพของภาษา” ที่ดูเหมือนว่าจะหายไป จนคนรุ่นใหม่แทบนึกไม่ออกกันแล้วว่า ภาษาไทยเคยมีคุณค่าทางด้านนี้อย่างโดดเด่นจนเรียกได้ว่าเป็น “วิจิตรภาษา” ไม่น้อยไปกว่าภาษาใดในโลกคนที่ใช้ภาษาไทยได้อย่างไพเราะเพราะพริ้งจนคุณค่าทางด้านสุนทรียภาพของภาษาแสดงออกมาอย่างโดดเด่น ซึ่งคนรุ่นใหม่ควรได้อ่าน ได้ลองศึกษางานของท่านเหล่านั้นดูบ้าง ก็เช่น พลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช พระยาอนุมานราชธน สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระปิยมหาราช หรือบุคคลร่วมสมัยอย่างงานกวีนิพนธ์ของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ความเรียงของเสกสรร ประเสริฐกุล นวนิยายของประภัสสร เสวิกุล และงานแปลกวีนิพนธ์ของคาลิล ยิบราน ชื่อ “ปรัชญาชีวิต” ฝีมือของอาจารย์ระวี ภาวิไล เป็นต้น
ว. วชิรเมธี 29 กรกฎาคม 2554 วิมุตตยารามอังกฤษ สหราชอาณาจักร
ในรัฐสภาเราจะพบว่านักการเมืองหลายคนใช้ภาษาไทยไม่ถูก ออกเสียงคำต่างๆ ผิดอยู่เสมอ เช่น คมนาคม ออกเสียงเป็น “คม-นา-คม”, สัปดาห์ ออกเสียงเป็น “สับ-ปะ-ดา”, ประวัติศาสตร์ ออกเสียงเป็น “ประ-หวัด-สาด” คำเหล่านี้เราออกเสียงกันผิดๆ จนกลายเป็นคำ “ผิด” ที่ใช้จน “ถูก” (ถูกกับความนิยม จนราชบัณฑิตยสถานยังต้องอนุโลมตามในบางคำก็มี)
ในสื่อมวลชนก็เช่นเดียวกัน หากสังเกตให้ดีก็จะพบว่า ผู้ประกาศข่าวหลายคนนิยมใช้คำติดปากว่า “ในส่วนของ…” หรือ “ทางด้านของ…” จนได้ยินกันทุกวัน และดูเหมือนว่าจะนำไปใช้กับแทบทุกเรื่อง โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องเหมาะสม เรื่องอะไรๆ ก็ “ในส่วนของ… ทางด้านของ…” ไปเสียหมด หากท่านมีโอกาสดูรายการข่าวทางโทรทัศน์ ขอให้ลองสังเกตดูให้ดีเถิดว่าจริงหรือไม่เพียงไร
ในละครหรือการร้องเพลงของนักร้องวัยรุ่นในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นนักร้องที่มาจากการประกวดตามเวทีประเภทค้นฟ้าหาดาว หรือจากการปั้นโดยต้นสังกัดที่เราถือกันว่าเป็นค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ก็ตาม จะพบว่านักร้องวัยรุ่นจำนวนมากออกเสียงภาษาไทยไม่ชัดเจน โดยเฉพาะ ร ล ช ธ มักออกเสียงเพี้ยนจนน่าตกใจ เสียง ร เรือ ล ลิง นั้น ผิดกันจนเป็นเรื่องปกติไปแล้วก็ว่าได้ แต่เสียงที่ไม่น่าผิดจะและไม่น่าออกเสียงยากเลย ก็คือ ธ ธง นั้น นักร้องวัยรุ่นทุกวันนี้หลายคนกลับออกเสียงไม่ถูกต้อง ซึ่งไม่น่าจะเกิดจากการไม่รู้ แต่น่าจะเกิดจากค่านิยม “เอาอย่าง” โดยถือว่าการออกเสียงแปร่งๆ นั้นเป็นเรื่องทันสมัย เช่น ธ ก็ออกเสียงเสียดแทรกคล้ายเสียงตัว th ในภาษาอังกฤษ แทนที่จะออกเสียงว่า “เธอ” (“เทอ”) กันง่ายๆ ก็ไปออกเสียงให้ยากและแปร่งๆ เป็น “เซอ” เสียอย่างนั้น คำว่า “รัก” ก็ออกเสียงแปร่งๆ เป็น “ร้วก” เลยเพี้ยนเป็น “ร้วกเซอ” บางทีก็ชวนให้นึกว่านักร้องวัยรุ่นเหล่านั้นเป็นคนเก่งภาษาอังกฤษมาก จึงออกเสียงเหมือนกับเติบโตในวัฒนธรรมภาษาอังกฤษที่อักษรบางตัวเวลาออกเสียงต้องห่อและงอลิ้น บางตัวต้องดึงลิ้นออกมาแล้วรีบหดลิ้นพร้อมทั้งปล่อยเสียงออกมา แต่ลองสอบถามดูแล้ว โดยมากก็เด็กวัยรุ่นลูกข้าวเจ้าข้าวเหนียวของไทยแท้ๆ นี่เอง ชวนให้สงสัยว่านี่คงจะเป็นอาการเริ่มแรกของการป่วยด้วยการลืมกำพืดเป็นแน่ซึ่งโรคนี้ถ้าหากเป็นหนักถึงขั้นเรื้อรังแล้วอาจลุกลามกลายเป็นโรคขาดความภูมิใจในความเป็นไทยไปเลยทีเดียว
นอกจากวัยรุ่นไทยจะออกเสียงคำต่างๆ ผิดอย่างไม่น่าจะผิดแล้ว ในการสื่อสารด้วยการเขียนเดี๋ยวนี้ก็นิยมเขียนผิดๆ แต่ถือกันว่าเป็นเรื่องทันสมัยสำหรับคนรุ่นใหม่ (แม้นี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร แต่ก็อยากตั้งข้อสังเกตไว้ให้ร่วมกันพิจารณาถึงความคลี่คลายของการใช้ภาษา) ซึ่งจะเจอทั่วไปในช่องทางเครือข่ายสังคมอย่าง facebook, Twitter เป็นต้น เช่นคำว่า “แล้ว” ก็เขียนเป็น “แร้น” (เช่น รู้แร้น) “กู” เขียนเป็น “กรู” “ขออภัย” เขียนเป็น “ขออำภัย” หรือในกรณีที่ควรใช้ “คะ” ก็เขียนเป็น “ค่ะ” ในกรณีที่ควรเขียน “ค่ะ” ก็เป็น “คะ” นี่ยังไม่รวมถึงการนิยมใช้คำที่มาจากภาษาต่างประเทศปนกับคำในภาษาไทยอย่างไม่คำนึงถึงความเหมาะสมความควรอีกต่างหาก เช่น “โอเคตามนี้นะ” หรือ “งานนี้ไม่เวิร์คว่ะ” หรือ “ถ้าคิดถึงก็ส่งแมสเสจมาก็แล้วกัน” และ/หรือ “นับแต่นั้นมาผมก็รู้สึกกิลตี้มาตลอดเลย” เป็นต้น การใช้ภาษาไทยปนกับภาษาต่างประเทศนั้นไม่ใช่เรื่องเสียหาย ไม่ใช่ความผิดบาป ถ้าใช้อย่างรู้จักกาลเทศะและพอเหมาะพอดี ไม่มากเกินไปจนลืมไปว่าตัวเองกำลังสื่อสารอยู่กับใคร ในบริบทเช่นไร
การที่คนรุ่นใหม่ในแวดวงต่างๆ ไม่ระมัดระวังในการใช้ภาษาไทยนั้น ทำให้คุณค่าที่แท้จริงของภาษาไทยถูกลดทอนลงไปเป็นอันมาก คุณค่าประการหนึ่งซึ่งถูกลดทอนก็คือ “คุณค่าด้านสุทรียภาพของภาษา” ที่ดูเหมือนว่าจะหายไป จนคนรุ่นใหม่แทบนึกไม่ออกกันแล้วว่า ภาษาไทยเคยมีคุณค่าทางด้านนี้อย่างโดดเด่นจนเรียกได้ว่าเป็น “วิจิตรภาษา” ไม่น้อยไปกว่าภาษาใดในโลกคนที่ใช้ภาษาไทยได้อย่างไพเราะเพราะพริ้งจนคุณค่าทางด้านสุนทรียภาพของภาษาแสดงออกมาอย่างโดดเด่น ซึ่งคนรุ่นใหม่ควรได้อ่าน ได้ลองศึกษางานของท่านเหล่านั้นดูบ้าง ก็เช่น พลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช พระยาอนุมานราชธน สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระปิยมหาราช หรือบุคคลร่วมสมัยอย่างงานกวีนิพนธ์ของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ความเรียงของเสกสรร ประเสริฐกุล นวนิยายของประภัสสร เสวิกุล และงานแปลกวีนิพนธ์ของคาลิล ยิบราน ชื่อ “ปรัชญาชีวิต” ฝีมือของอาจารย์ระวี ภาวิไล เป็นต้น
ว. วชิรเมธี 29 กรกฎาคม 2554 วิมุตตยารามอังกฤษ สหราชอาณาจักร