เพราะเป็นครูภาษาไทยที่อยู่กับวัยรุ่นมาเป็นเวลาเกือบ 20 ปี ทำให้ได้เห็นปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นกับภาษาไทยนานัปการ เมื่อได้มีโอกาสมาถ่ายทอดเรื่องนี้ครูลิลลี่เลยขอนำประสบการณ์จากมุมมองของตัวเองมาเล่าสู่กันฟัง และถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนทัศนคติซึ่งกันและกันนะคะ จริงๆ แล้วถ้าให้แยกแจกแจงปัญหาก็คงต้องว่ากันไปทั้ง ฟัง พูด อ่าน เขียนเลยละค่ะ เพราะนี่คือ 4 ศาสตร์อันเป็นหัวใจสำคัญของภาษาไทย
เริ่มกันที่ “การฟัง” คุณครูลิลลี่ขอยกสำนวนไทยโบราณที่ยังคงใช้ได้ดีทุกยุคทุกสมัย นั่นคือ “ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด” สำนวนนี้แม้ผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ยังคงเป็นสัจธรรมเสมอ ในที่นี้คุณครูลิลลี่ขอเน้นไปที่การนำไปพูดต่อ วัยรุ่นจำนวนไม่น้อยค่ะที่บางครั้งฟังเร็วๆ โดยที่จริงแล้วยังฟังไม่ได้เนื้อความที่ชัดเจน หรือฟังแล้วเข้าใจไม่ตรงตามเจตนาของผู้พูด ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเป็นการฟังที่มีอคติส่วนตัวด้วย ก็ยิ่งจะทำให้ตีเจตนา ของผู้พูดผิดเข้าไปใหญ่ ทีนี้พอนำไปเล่าต่อก็ย่อมเกิดความเข้าใจผิดเป็นธรรมดา สุดท้ายจากความเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ หากปล่อยไว้จนบานปลาย ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นก็เป็นได้
ดังนั้น สิ่งที่อยากจะให้สติและเตือนใจวัยรุ่นไว้ก็คือ สำนวน “ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด” ที่จะช่วยสอนและเตือนให้เราเป็นนักฟังที่ฟังอย่างมีสติ มีวิจารณญาณ นอกจากนั้นทุกครั้งที่จะถ่ายทอดสิ่งที่ได้ยินมา จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องมีข้อมูลมาเป็นอย่างดี รู้และเข้าใจวัตถุประสงค์ของเจ้าของสาร ก็จะทำให้เราเป็นนักฟังที่ดี และเป็นผู้ถ่ายทอดที่ดีต่อไปนั่นเองค่ะ
มาถึงเรื่องราวของ “การพูด” ครูลิลลี่ขอหยิบเอาสำนวนหนึ่งจากสุภาษิตสอนหญิงมาเป็นแนวคิดหลักของศาสตร์ว่าด้วย “การพูด” นั่นคือบทที่ว่า
“เป็นมนุษย์สุดนิยมที่ลมปาก
จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา
แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา
จะพูดจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ”
อ่านแล้วทำความเข้าใจได้ง่ายๆก็คือ การพูดจาทำให้คนรักก็ได้ ทำให้คนเกลียดก็ได้ เพราะฉะนั้นจะพูดอะไรก็ตาม คิดให้ดีก่อนพูดเสมอ เหมือนที่มีคนพูดให้ได้ยินบ่อยๆ ว่า “คิดทุกเรื่องก่อนพูด แต่ไม่จำเป็นต้องพูดทุกเรื่องที่คิด” เหล่านี้ต้องอาศัยประสบการณ์ในการสื่อสารบ่อยๆ พูดบ่อยๆ นั่นเอง ปัญหาของการพูดยังจำแนกออกได้อีกหลายอย่าง ทั้งเรื่องของการออกเสียง การลำดับใจความ รวมทั้งการมี “คลังคำ” ไว้ในหัวเยอะๆ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของการพูด คลังคำที่ว่าคือการสรรหาคำที่หลากหลายเพื่อการพูดที่สัมฤทธิผลรู้จักสร้างความแตกต่างความหลากหลาย ลูกเล่นและเทคนิคการนำเสนอที่ดีย่อมทำให้การพูดประสบความสำเร็จ
ต่อกันที่ “การอ่าน” พูดถึงเรื่องการอ่าน เราคงเคยได้ยินได้ฟังกันมาเยอะว่าประเทศไทยมีสถิติการอ่านอยู่ในระดับต่ำมาก เมื่อเทียบกับบรรดาประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของงานสัปดาห์หนังสือที่ผ่านมาก็มีตัวเลขยืนยันมาว่า สถิติการอ่านของคนไทยโดยทั่วไปสูงขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก ซึ่งเรื่องนี้ทำให้คุณครูลิลลี่ยิ้มไปได้หลายวัน จริงๆ แล้วพูดถึงการอ่านมีวัตถุประสงค์ใหญ่ๆ 3 ประการ คือ อ่านเพื่อเอาเรื่องหรืออ่านเพื่อเก็บความรู้ อ่านเพื่อวิเคราะห์ และอ่านเพื่อตีความ ซึ่ง 2 ประการหลังเป็นสิ่งที่คุณครูเป็นห่วงมาก เพราะเด็กวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยเลยที่วิเคราะห์ไม่เป็น ตีความไม่ได้ หรือเรียกง่ายๆ คือ อ่านหนังสือไม่แตกฉาน ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ “การรับสารที่ผิด” นี่คือสิ่งที่เราต้องเร่งแก้ไขและปรับปรุงเพื่อสร้างให้เด็กไทยอ่านและตีความภาษาไทยได้อย่างถ่องแท้
มาถึงประเด็นสุดท้าย “การเขียน” อันนี้ดูจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในเวลานี้ เพราะว่าเวลาเขียนผิด หลักฐานจะปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน สมัยนี้แม้จะไม่มีการสอนแบบเขียนตามคำบอกเหมือนสมัยก่อน แต่ถ้าลองมาใช้กับเด็กนักเรียนของคุณครูในสมัยนี้ รับรองได้ว่าจำนวนไม่น้อยเลยเขียนภาษาไทยผิด สาเหตุหลักประการหนึ่งน่าจะมาจากสังคมของโลกไซเบอร์ ทั้งการสนทนาผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ การส่งข้อความที่เน้นความสะดวกรวดเร็ว และความเก๋ไก๋ในการกำหนดศัพท์เฉพาะกลุ่ม ซึ่งหากใช้กันภายในกลุ่มก็คงไม่ผิดแต่เมื่อใช้จนเป็นความเคยชินแล้ว ทำให้หลงลืมการใช้ภาษาที่ถูกต้องหรือการเขียนที่ถูกวิธี ก็ดูจะเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่งสำหรับภาษาไทย ที่นับวันจะใกล้พบกับคำว่า “วิบัติ” ลงไปเรื่อยๆ
ถึงตรงนี้คงต้องฝาก 4 ศาสตร์ สำคัญไว้ในใจของเด็กไทยทั้งประเทศ ฟัง พูด อ่าน เขียน เรียนรู้และฝึกฝนให้ดีที่สุด นอกจากจะเป็นประโยชน์กับตัวเองแล้ว ยังส่งผลต่อไปถึงประโยชน์และความคงไว้ซึ่งภาษาไทย ภาษาอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติค่ะ
เริ่มกันที่ “การฟัง” คุณครูลิลลี่ขอยกสำนวนไทยโบราณที่ยังคงใช้ได้ดีทุกยุคทุกสมัย นั่นคือ “ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด” สำนวนนี้แม้ผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ยังคงเป็นสัจธรรมเสมอ ในที่นี้คุณครูลิลลี่ขอเน้นไปที่การนำไปพูดต่อ วัยรุ่นจำนวนไม่น้อยค่ะที่บางครั้งฟังเร็วๆ โดยที่จริงแล้วยังฟังไม่ได้เนื้อความที่ชัดเจน หรือฟังแล้วเข้าใจไม่ตรงตามเจตนาของผู้พูด ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเป็นการฟังที่มีอคติส่วนตัวด้วย ก็ยิ่งจะทำให้ตีเจตนา ของผู้พูดผิดเข้าไปใหญ่ ทีนี้พอนำไปเล่าต่อก็ย่อมเกิดความเข้าใจผิดเป็นธรรมดา สุดท้ายจากความเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ หากปล่อยไว้จนบานปลาย ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นก็เป็นได้
ดังนั้น สิ่งที่อยากจะให้สติและเตือนใจวัยรุ่นไว้ก็คือ สำนวน “ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด” ที่จะช่วยสอนและเตือนให้เราเป็นนักฟังที่ฟังอย่างมีสติ มีวิจารณญาณ นอกจากนั้นทุกครั้งที่จะถ่ายทอดสิ่งที่ได้ยินมา จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องมีข้อมูลมาเป็นอย่างดี รู้และเข้าใจวัตถุประสงค์ของเจ้าของสาร ก็จะทำให้เราเป็นนักฟังที่ดี และเป็นผู้ถ่ายทอดที่ดีต่อไปนั่นเองค่ะ
มาถึงเรื่องราวของ “การพูด” ครูลิลลี่ขอหยิบเอาสำนวนหนึ่งจากสุภาษิตสอนหญิงมาเป็นแนวคิดหลักของศาสตร์ว่าด้วย “การพูด” นั่นคือบทที่ว่า
“เป็นมนุษย์สุดนิยมที่ลมปาก
จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา
แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา
จะพูดจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ”
อ่านแล้วทำความเข้าใจได้ง่ายๆก็คือ การพูดจาทำให้คนรักก็ได้ ทำให้คนเกลียดก็ได้ เพราะฉะนั้นจะพูดอะไรก็ตาม คิดให้ดีก่อนพูดเสมอ เหมือนที่มีคนพูดให้ได้ยินบ่อยๆ ว่า “คิดทุกเรื่องก่อนพูด แต่ไม่จำเป็นต้องพูดทุกเรื่องที่คิด” เหล่านี้ต้องอาศัยประสบการณ์ในการสื่อสารบ่อยๆ พูดบ่อยๆ นั่นเอง ปัญหาของการพูดยังจำแนกออกได้อีกหลายอย่าง ทั้งเรื่องของการออกเสียง การลำดับใจความ รวมทั้งการมี “คลังคำ” ไว้ในหัวเยอะๆ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของการพูด คลังคำที่ว่าคือการสรรหาคำที่หลากหลายเพื่อการพูดที่สัมฤทธิผลรู้จักสร้างความแตกต่างความหลากหลาย ลูกเล่นและเทคนิคการนำเสนอที่ดีย่อมทำให้การพูดประสบความสำเร็จ
ต่อกันที่ “การอ่าน” พูดถึงเรื่องการอ่าน เราคงเคยได้ยินได้ฟังกันมาเยอะว่าประเทศไทยมีสถิติการอ่านอยู่ในระดับต่ำมาก เมื่อเทียบกับบรรดาประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของงานสัปดาห์หนังสือที่ผ่านมาก็มีตัวเลขยืนยันมาว่า สถิติการอ่านของคนไทยโดยทั่วไปสูงขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก ซึ่งเรื่องนี้ทำให้คุณครูลิลลี่ยิ้มไปได้หลายวัน จริงๆ แล้วพูดถึงการอ่านมีวัตถุประสงค์ใหญ่ๆ 3 ประการ คือ อ่านเพื่อเอาเรื่องหรืออ่านเพื่อเก็บความรู้ อ่านเพื่อวิเคราะห์ และอ่านเพื่อตีความ ซึ่ง 2 ประการหลังเป็นสิ่งที่คุณครูเป็นห่วงมาก เพราะเด็กวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยเลยที่วิเคราะห์ไม่เป็น ตีความไม่ได้ หรือเรียกง่ายๆ คือ อ่านหนังสือไม่แตกฉาน ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ “การรับสารที่ผิด” นี่คือสิ่งที่เราต้องเร่งแก้ไขและปรับปรุงเพื่อสร้างให้เด็กไทยอ่านและตีความภาษาไทยได้อย่างถ่องแท้
มาถึงประเด็นสุดท้าย “การเขียน” อันนี้ดูจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในเวลานี้ เพราะว่าเวลาเขียนผิด หลักฐานจะปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน สมัยนี้แม้จะไม่มีการสอนแบบเขียนตามคำบอกเหมือนสมัยก่อน แต่ถ้าลองมาใช้กับเด็กนักเรียนของคุณครูในสมัยนี้ รับรองได้ว่าจำนวนไม่น้อยเลยเขียนภาษาไทยผิด สาเหตุหลักประการหนึ่งน่าจะมาจากสังคมของโลกไซเบอร์ ทั้งการสนทนาผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ การส่งข้อความที่เน้นความสะดวกรวดเร็ว และความเก๋ไก๋ในการกำหนดศัพท์เฉพาะกลุ่ม ซึ่งหากใช้กันภายในกลุ่มก็คงไม่ผิดแต่เมื่อใช้จนเป็นความเคยชินแล้ว ทำให้หลงลืมการใช้ภาษาที่ถูกต้องหรือการเขียนที่ถูกวิธี ก็ดูจะเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่งสำหรับภาษาไทย ที่นับวันจะใกล้พบกับคำว่า “วิบัติ” ลงไปเรื่อยๆ
ถึงตรงนี้คงต้องฝาก 4 ศาสตร์ สำคัญไว้ในใจของเด็กไทยทั้งประเทศ ฟัง พูด อ่าน เขียน เรียนรู้และฝึกฝนให้ดีที่สุด นอกจากจะเป็นประโยชน์กับตัวเองแล้ว ยังส่งผลต่อไปถึงประโยชน์และความคงไว้ซึ่งภาษาไทย ภาษาอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติค่ะ