ตลอดวันเวลาอันยาวนานในชีวิตที่ดำรงอยู่และดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน นับได้ว่าภาษาไทยมีอิทธิพลและบทบาทอย่างสูงสำหรับข้าพเจ้า จนอาจกล่าวได้ว่า การได้เกิดมาเป็นคนไทย ได้พูดภาษาไทย อ่านและเขียนภาษาไทยนี้คุ้มที่สุด ค่าจากความคุ้มนั้นประมาณมิได้
ในยามที่ยังเยาว์วัยอยู่นั้น ข้าพเจ้าก็มีภาพของภาษาไทยติดตรึงอยู่ในความทรงจำอย่างมาก เนื่องจากรักชั่วโมงเรียนวรรณคดีไทยกับครูผู้สอนที่สอนเก่งเป็นที่หนึ่ง จึงเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งและภาษาที่ยากได้อย่างราบรื่นโดยตนเองรู้สึกว่าสนุก ต่อจากนั้น จึงเริ่มแต่งโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอนตามแบบอย่างที่ครูสอน เพิ่มพูนความสนุกและความสุขขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
จากร้อยกรองจึงมาถึงร้อยแก้ว ที่มักจะเขียนได้เพียงกระท่อนกระแท่นเพราะหาทางจบไม่ลง แต่ด้วยความอยากเขียนในที่สุดก็จบจนได้ เมื่อจบได้แล้วจึงส่งไปตีพิมพ์ในนิตยสารไทยใหม่วันจันทร์ ได้รับการตีพิมพ์ทันทีโดยข้าพเจ้าหารู้ไม่ เนื่องด้วยขณะนั้นเป็นนักเรียนประจำ
ระหว่างที่คิดเรื่องสั้นเรื่องใหม่ยังไม่ได้ ข้าพเจ้าก็ฆ่าเวลาด้วยการเขียนกลอนหกส่งไปที่นิตยสารฉบับเดียวกันนี้และได้รับการตีพิมพ์ทุกชิ้น เพียงแต่ข้าพเจ้าไม่มีโอกาสได้ตัดเก็บ ไม่เหมือนเรื่องสั้นเรื่องแรกที่ชื่อ“ของขวัญปีใหม่”เพราะในเวลาต่อมาก็มีผู้ช่วยบรรณาธิการนิตยสารฉบับหนึ่งช่วยเก็บรวบรวมไว้โดยนำไปตีพิมพ์รวมเล่ม แล้วส่งบางเล่มมาให้นั่นเองจึงได้เห็นงานของตนเองทั้งที่ตกหล่นและหลงลืม
ข้าพเจ้าเริ่มรักการเขียนก็เพราะรักการอ่านมาก่อน โดยอ่านจากง่ายไปหายาก ถ้าถามว่าในวัยเด็กเข้าใจหนังสือที่มีเรื่องราวยากๆ ได้อย่างไร ก็คงต้องตอบว่า เนื่องด้วยได้มรดกความรู้ ความสามารถ และน้ำใจในการสอนสั่งฝึกปรือจากครูภาษาไทยและวรรณคดีไทย โรงเรียนราชินีเมื่อเกือบ 70 ปีที่แล้ว คอยปลูกฝังตั้งแต่ไวยากรณ์ไทยจนถึงการตีความภาษาในวรรณคดีเรื่องสำคัญ เป็นต้น ว่าลิลิตตะเลงพ่ายซึ่งมีศัพท์ที่ยากเกือบทั้งเล่ม แต่ครูก็ช่วยย่อยสลายความยากของคำและของความจนซึมซับสู่ความเข้าใจได้ทั้งเล่ม
จึงไม่น่าแปลกใจกระไรนักที่นักเรียนสมัยโบราณส่วนใหญ่จะภูมิแน่นทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษเนื่องจากได้รับการถ่ายทอดกล่อมเกลาจากครูสู่เด็กด้วยความทุ่มเทและปรารถนาดีล้วนๆ โดยไม่มีสิ่งแปลกปลอมที่เรียกว่าการตลาดสอดแทรกเข้ามา
แม้กระนั้น เมื่อจบการศึกษาขั้นเตรียมอุดมเรียบร้อยแล้วข้าพเจ้าก็ยังไม่รู้สึกว่าการอ่านและการเขียนของตัวเองใช้การได้ ตัวอักษรแต่ละตัวที่ทดลองเขียนลงไปบนกระดาษเกิดจากความองอาจเกินตัวเพราะนึกแต่เพียงว่าตนเองก็เขียนได้เท่านั้น หารู้ไม่ว่า “เขียนได้” กับ “เขียนเป็น” มีความหมายไม่เหมือนกัน
อาจเหมือนกันอยู่บ้างก็ตรงที่เขียนเพราะอยากเขียน ขณะที่เขียนสมัยนั้นยังไม่มีคำว่า “อยากเป็นนักเขียน” อยู่ในสมอง แต่การเขียนเพราะอยากเขียนก็พานักเขียนไปสู่จุดหมายปลายทางที่ต่างกันอีกนั่นเอง บางปลายทางสมหวัง บางปลายทางก็ผิดหวัง แต่ด้วยความรักที่มีและที่เข้ามาจนจับตัวจับใจ แม้แต่แรกจะยังไม่สันทัดต่อการจับทิศทางและท่าทีลีลาที่ปลายปากกาจะพาตัวอักษรไป ยังจับเสียงต่างๆ ของแต่ละคำแต่ละความไม่ถนัด บางทียังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เสียงที่เกิดจากพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์นี้ แท้จริงแล้วก็ไม่ไกลจากตัวโน๊ตเพลงและดนตรี
ถ้าสามารถเรียบเรียงถ้อยคำจนเกิดเป็นสำนวนลีลาได้ ภาษาดนตรีที่มีอยู่ในตัวเขียนก็จะทะยานออกมา ให้ได้ประจักษ์ถึงจังหวะจะโคนที่ทั้งพิรี้พิไรและกระแทกกระทั้น อ่อนโยนและข้นเข้ม ดีดดิ้นและกระด้างเช่นเดียวกับทำนองที่สอดใส่ในเนื้อร้องของกระบวนการแต่งเพลง
ทุกวันนี้ แม้อายุของข้าพเจ้าจะผ่านวันเวลามายาวนาน แต่ตนเองกลับไม่รู้สึกแม้แต่น้อยถึงวัยที่ผ่านเลย ตรงกันข้าม กลับรู้สึกว่าตัวอักษรแต่ละตัวที่คุมข้าพเจ้าไว้ พร้อมกันนั้นข้าพเจ้าก็คุมพวกเขาด้วยนี้ แทนที่จะอ่อนล้าด้วยงานด้วยงานที่บางครั้งก็ยากเหมือนกัน แต่พวกเรากลับกระปรี้กระเปร่าเต้นเร่าสดใสราวกับหญิงและชายผู้เปี่ยมด้วยกำลังใจที่ได้รับการอัดฉีดมายาวนานด้วยความรัก
ใครจะรู้สึกอย่างไรข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่สำหรับตนเองนั้น เพียบพร้อมด้วยความสุขทั้งกายและใจ เนื่องด้วยมีโอกาสใช้ชีวิตทั้งชีวิตกับภาษาไทยอย่างเต็มอิ่ม เต็มความยินดีและเต็มศักยภาพ
ภาษาไทยอันอุดมด้วยความพริ้งเพราะงดงาม ความมีพลังและมีวิญญาณได้เข้ามาสิงสู่อยู่ในตัวตนและในจิตสำนึกของข้าพเจ้าจนมิอาจปลดออกได้ จึงตกลงกับตนเองว่าจะเดินทางไปกับภาษาไทยชั่วกัลปาวสานจนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางที่ชื่อว่า “ความสำเร็จ”
ความสำเร็จในการใช้ภาษาไทยได้ราวนักรบใช้ดาบ ความปรารถนาอันสูงสุดของข้าพเจ้าก็คือมีดาบคมกริบกระชับไว้กับมือทุกโมงยาม ดึงมาใช้ได้ทันทีอย่างมีประสิทธิภาพ “ดาบวิเศษที่มีนามว่า ภาษาไทย”
ในยามที่ยังเยาว์วัยอยู่นั้น ข้าพเจ้าก็มีภาพของภาษาไทยติดตรึงอยู่ในความทรงจำอย่างมาก เนื่องจากรักชั่วโมงเรียนวรรณคดีไทยกับครูผู้สอนที่สอนเก่งเป็นที่หนึ่ง จึงเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งและภาษาที่ยากได้อย่างราบรื่นโดยตนเองรู้สึกว่าสนุก ต่อจากนั้น จึงเริ่มแต่งโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอนตามแบบอย่างที่ครูสอน เพิ่มพูนความสนุกและความสุขขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
จากร้อยกรองจึงมาถึงร้อยแก้ว ที่มักจะเขียนได้เพียงกระท่อนกระแท่นเพราะหาทางจบไม่ลง แต่ด้วยความอยากเขียนในที่สุดก็จบจนได้ เมื่อจบได้แล้วจึงส่งไปตีพิมพ์ในนิตยสารไทยใหม่วันจันทร์ ได้รับการตีพิมพ์ทันทีโดยข้าพเจ้าหารู้ไม่ เนื่องด้วยขณะนั้นเป็นนักเรียนประจำ
ระหว่างที่คิดเรื่องสั้นเรื่องใหม่ยังไม่ได้ ข้าพเจ้าก็ฆ่าเวลาด้วยการเขียนกลอนหกส่งไปที่นิตยสารฉบับเดียวกันนี้และได้รับการตีพิมพ์ทุกชิ้น เพียงแต่ข้าพเจ้าไม่มีโอกาสได้ตัดเก็บ ไม่เหมือนเรื่องสั้นเรื่องแรกที่ชื่อ“ของขวัญปีใหม่”เพราะในเวลาต่อมาก็มีผู้ช่วยบรรณาธิการนิตยสารฉบับหนึ่งช่วยเก็บรวบรวมไว้โดยนำไปตีพิมพ์รวมเล่ม แล้วส่งบางเล่มมาให้นั่นเองจึงได้เห็นงานของตนเองทั้งที่ตกหล่นและหลงลืม
ข้าพเจ้าเริ่มรักการเขียนก็เพราะรักการอ่านมาก่อน โดยอ่านจากง่ายไปหายาก ถ้าถามว่าในวัยเด็กเข้าใจหนังสือที่มีเรื่องราวยากๆ ได้อย่างไร ก็คงต้องตอบว่า เนื่องด้วยได้มรดกความรู้ ความสามารถ และน้ำใจในการสอนสั่งฝึกปรือจากครูภาษาไทยและวรรณคดีไทย โรงเรียนราชินีเมื่อเกือบ 70 ปีที่แล้ว คอยปลูกฝังตั้งแต่ไวยากรณ์ไทยจนถึงการตีความภาษาในวรรณคดีเรื่องสำคัญ เป็นต้น ว่าลิลิตตะเลงพ่ายซึ่งมีศัพท์ที่ยากเกือบทั้งเล่ม แต่ครูก็ช่วยย่อยสลายความยากของคำและของความจนซึมซับสู่ความเข้าใจได้ทั้งเล่ม
จึงไม่น่าแปลกใจกระไรนักที่นักเรียนสมัยโบราณส่วนใหญ่จะภูมิแน่นทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษเนื่องจากได้รับการถ่ายทอดกล่อมเกลาจากครูสู่เด็กด้วยความทุ่มเทและปรารถนาดีล้วนๆ โดยไม่มีสิ่งแปลกปลอมที่เรียกว่าการตลาดสอดแทรกเข้ามา
แม้กระนั้น เมื่อจบการศึกษาขั้นเตรียมอุดมเรียบร้อยแล้วข้าพเจ้าก็ยังไม่รู้สึกว่าการอ่านและการเขียนของตัวเองใช้การได้ ตัวอักษรแต่ละตัวที่ทดลองเขียนลงไปบนกระดาษเกิดจากความองอาจเกินตัวเพราะนึกแต่เพียงว่าตนเองก็เขียนได้เท่านั้น หารู้ไม่ว่า “เขียนได้” กับ “เขียนเป็น” มีความหมายไม่เหมือนกัน
อาจเหมือนกันอยู่บ้างก็ตรงที่เขียนเพราะอยากเขียน ขณะที่เขียนสมัยนั้นยังไม่มีคำว่า “อยากเป็นนักเขียน” อยู่ในสมอง แต่การเขียนเพราะอยากเขียนก็พานักเขียนไปสู่จุดหมายปลายทางที่ต่างกันอีกนั่นเอง บางปลายทางสมหวัง บางปลายทางก็ผิดหวัง แต่ด้วยความรักที่มีและที่เข้ามาจนจับตัวจับใจ แม้แต่แรกจะยังไม่สันทัดต่อการจับทิศทางและท่าทีลีลาที่ปลายปากกาจะพาตัวอักษรไป ยังจับเสียงต่างๆ ของแต่ละคำแต่ละความไม่ถนัด บางทียังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เสียงที่เกิดจากพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์นี้ แท้จริงแล้วก็ไม่ไกลจากตัวโน๊ตเพลงและดนตรี
ถ้าสามารถเรียบเรียงถ้อยคำจนเกิดเป็นสำนวนลีลาได้ ภาษาดนตรีที่มีอยู่ในตัวเขียนก็จะทะยานออกมา ให้ได้ประจักษ์ถึงจังหวะจะโคนที่ทั้งพิรี้พิไรและกระแทกกระทั้น อ่อนโยนและข้นเข้ม ดีดดิ้นและกระด้างเช่นเดียวกับทำนองที่สอดใส่ในเนื้อร้องของกระบวนการแต่งเพลง
ทุกวันนี้ แม้อายุของข้าพเจ้าจะผ่านวันเวลามายาวนาน แต่ตนเองกลับไม่รู้สึกแม้แต่น้อยถึงวัยที่ผ่านเลย ตรงกันข้าม กลับรู้สึกว่าตัวอักษรแต่ละตัวที่คุมข้าพเจ้าไว้ พร้อมกันนั้นข้าพเจ้าก็คุมพวกเขาด้วยนี้ แทนที่จะอ่อนล้าด้วยงานด้วยงานที่บางครั้งก็ยากเหมือนกัน แต่พวกเรากลับกระปรี้กระเปร่าเต้นเร่าสดใสราวกับหญิงและชายผู้เปี่ยมด้วยกำลังใจที่ได้รับการอัดฉีดมายาวนานด้วยความรัก
ใครจะรู้สึกอย่างไรข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่สำหรับตนเองนั้น เพียบพร้อมด้วยความสุขทั้งกายและใจ เนื่องด้วยมีโอกาสใช้ชีวิตทั้งชีวิตกับภาษาไทยอย่างเต็มอิ่ม เต็มความยินดีและเต็มศักยภาพ
ภาษาไทยอันอุดมด้วยความพริ้งเพราะงดงาม ความมีพลังและมีวิญญาณได้เข้ามาสิงสู่อยู่ในตัวตนและในจิตสำนึกของข้าพเจ้าจนมิอาจปลดออกได้ จึงตกลงกับตนเองว่าจะเดินทางไปกับภาษาไทยชั่วกัลปาวสานจนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางที่ชื่อว่า “ความสำเร็จ”
ความสำเร็จในการใช้ภาษาไทยได้ราวนักรบใช้ดาบ ความปรารถนาอันสูงสุดของข้าพเจ้าก็คือมีดาบคมกริบกระชับไว้กับมือทุกโมงยาม ดึงมาใช้ได้ทันทีอย่างมีประสิทธิภาพ “ดาบวิเศษที่มีนามว่า ภาษาไทย”