“ภาษา” นับเป็นเครื่องมือสำคัญของการสื่อสาร กล่าวคือ ผู้ที่มีทักษะการใช้ภาษาดี รู้จักเลือกใช้คำในการพูดและการเขียนที่ตรงกับวัตถุประสงค์ในการสื่อความหมาย ย่อมส่งผลให้การสื่อสารประสบผลสำเร็จ ในทางตรงกันข้ามผู้ที่ขาดทักษะการใช้ภาษา ไม่ทราบจะพูดหรือเขียนอย่างไรเพื่อบอกความต้องการของตนเอง ย่อมเป็นอุปสรรคต่อการสื่อสาร นอกเหนือจากการใช้ภาษาเป็นเครื่องมือหลักของการสื่อสารแล้วภาษายังถูกใช้ไปเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ ด้วย อาทิเช่น ใช้ภาษาไปเพื่อบ่งบอกความเป็นตัวตนของผู้พูด ใช้ภาษาเพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดกับผู้ฟังหรือแม้กระทั่งการใช้ภาษาเพื่อแสดงอารมณ์หรือความรู้สึกของผู้พูดในขณะนั้นเป็น
การที่คนไทยมี “ภาษาไทย” เป็นภาษาของตัวเองและเป็นภาษาประจำชาติ จึงเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจที่สุดประการหนึ่งเพราะเป็นการสะท้อนถึงการมีวัฒนธรรมและมีเอกลักษณ์ทางการสื่อสารที่ไม่อาจมีชาติใดเสมอเหมือน อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมการใช้ภาษาไทยที่ถูกสั่งสมมาอย่างยาวนาน อาจเลือนหายไปตามกาลเวลาและถูกปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย หากคนไทยทุกคนไม่ช่วยกันใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง ทั้งการใช้ภาษาพูดและภาษาเขียน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หน้าที่ในการรัก “ภาษาไทย” ให้คงอยู่เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน ทุกเพศทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ ไม่จำกัดเฉพาะผู้มีบทบาทโดยตรงในการใช้ภาษาไทยอย่างครูภาษาไทย บรรณาธิการ ผู้ประกาศข่าว หรือผู้ดำเนินรายการ หรือไม่เฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้นที่จะต้องใช้ภาษาไทยให้ถูก เด็กหรือวัยรุ่น ก็ต้องใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องเช่นกัน
สำหรับ “ภาษาพูด” ผู้พูดควรเลือกใช้คำพูดให้เหมาะสมกับผู้ฟัง เวลา และสถานที่ ภาษาไทยมีเอกลักษณ์ที่มีระดับภาษา กล่าวคือ มีคำหลายคำที่สื่อความหมายอย่างเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น คำว่า “กิน รับประทาน ฉัน เสวย” ล้วนมีความหมายอย่างเดียวกัน คือ “การเคี้ยว กลืน” แต่มีการใช้ต่างกันออกไป คือ “กิน” ใช้ในกรณีที่ไม่เป็นทางการ “รับประทาน” ใช้ในกรณีที่เป็นทางการ “ฉัน” ใช้สำหรับพระภิกษุสงฆ์ “เสวย” เป็นคำราชาศัพท์ ผู้พูดต้องรู้จักเลือกใช้คำให้เหมาะสมกับผู้ฟัง ภาษาไทยยังมีเอกลักษณ์ที่มีคำควบกล้ำอย่าง “ร ล ว” ที่ผู้พูดต้องพูดให้ถูกต้อง มิเช่นนั้นอาจสื่อความหมายผิดได้ เช่น “เรียน” กับ “เลียน” หรือ “โรค” กับ “โลก” หรือ “ราว” กับ “ลาว” เป็นต้น ภาษาไทยยังมีเสน่ห์ที่คำลงท้าย ได้แก่ ค่ะ นะคะ ครับ นะครับ ที่แสดงถึงความนอบน้อม อ่อนโยน และมีสัมมาคารวะของผู้พูด ซึ่งช่วยให้การสื่อสารประสบความสำเร็จ เช่น หากผู้พูดต้องการให้ผู้ฟังให้อภัยในสิ่งที่ตนได้ทำผิดไป การพูดว่า ขอโทษค่ะ ขอโทษครับ ขอโทษนะคะ ขอโทษนะครับ ย่อมสามารถโน้มนาวใจผู้ฟังได้มากกว่าการพูดว่า “ขอโทษ” เพียงอย่างเดียว นอกจากนี้สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งของภาษาพูดคือ “น้ำเสียง” น้ำเสียงที่แตกต่างกัน เช่น การพูดห้วนกับการพูดมีหางเสียง ย่อมให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน แม้ผู้พูดจะพูดประโยคเดียวกันก็ตาม ดังนั้นผู้พูดควรคำนึงถึงน้ำเสียงขณะที่พูดด้วย
ทางด้าน “ภาษาเขียน” ปัจจุบันสื่ออินเตอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากต่อการเขียนภาษาไทย โดยเฉพาะกับกลุ่มวัยรุ่น ทั้งนี้อาจเป็นเพราะความไม่เป็นทางการของสื่ออินเตอร์เน็ตทำให้ผู้ใช้ละเลยที่จะเขียนภาษาไทยให้ถูกต้องเมื่อต้องการสื่อสารผ่านสื่อนี้ จึงมักพบการเขียนภาษาไทยแบบผิดๆ อาทิเช่น คำว่า “ให้” มักเขียนเป็น “หั้ย” คำว่า “ทำไม” มักเขียนเป็น “ทำมัย” “ทำอะไรอยู่” มักเขียนเป็น (ทามอารายอยู่) “ไม่จริง” มักเขียนเป็น “ม่ายจิง” เป็นต้น
แม้การเขียนดังกล่าวจะไม่ทำให้การสื่อสารความหมายผิดไป และเป็นการเขียนเพื่อสื่อสารกันเฉพาะในกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น แต่ผู้เขียนก็ควรเขียนให้ถูกต้องตามหลักภาษาไทย นอกจากนี้การสื่อสารในสังคมออนไลน์อย่างอินเตอร์เน็ตยังพบการใช้ภาษาที่ไม่เป็นทางการ ยกตัวอย่าง “ชิล ชิล” แทนความหมายถึงความใจเย็น ไม่ต้องรีบร้อนอะไร “เคเค” แทนความหมายถึงการตอบตกลง “อิอิ คริคริ” แทนอารมณ์ขันของผู้ส่งสาร การใช้ภาษาดังกล่าวผู้ใช้ต้องมีความระมัดระวัง ไม่ควรนำมาใช้เมื่ออยู่บริบทของการสื่อสารที่เป็นทางการ เนื่องจากไม่ใช่ภาษาไทยที่ถูกต้อง การใช้ภาษาดังกล่าวบ่อยครั้งเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้เกิดความเคยชินและนำมาใช้ในชีวิตประจำวันโดยไม่รู้สึกว่าเป็นการใช้ภาษาไทยที่ไม่ถูกต้อง สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ย่อมเป็นการบ่อนทำลายภาษาไทย
แม้การใช้ภาษาไทยจะมีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยและมีคำศัพท์ใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ แต่ผู้ใช้ภาษาไทยทุกคนไม่ควรหลงใช้คำศัพท์ใหม่ๆ จนละเลยคำศัพท์เดิมที่สื่อความหมายได้ถูกต้องชัดเจน เพราะหากไม่มีการใช้คำใดเป็นเวลานาน คำคำนั้นย่อมสูญหายไป ในทางตรงกันข้ามเมื่อมีคำศัพท์ใหม่เกิดขึ้น ผู้ใช้ภาษาไทยยิ่งต้องให้ความสำคัญการใช้คำศัพท์เดิม และตระหนักอยู่เสมอว่า การใช้คำศัพท์ใหม่ที่ไม่เป็นทางการนั้น เป็นการใช้ภาษาไทยที่ไม่ถูกต้อง เพราะภาษาไทยจะคงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อผู้ใช้ภาษาไทยทุกคน ช่วยกันใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง
การที่คนไทยมี “ภาษาไทย” เป็นภาษาของตัวเองและเป็นภาษาประจำชาติ จึงเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจที่สุดประการหนึ่งเพราะเป็นการสะท้อนถึงการมีวัฒนธรรมและมีเอกลักษณ์ทางการสื่อสารที่ไม่อาจมีชาติใดเสมอเหมือน อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมการใช้ภาษาไทยที่ถูกสั่งสมมาอย่างยาวนาน อาจเลือนหายไปตามกาลเวลาและถูกปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย หากคนไทยทุกคนไม่ช่วยกันใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง ทั้งการใช้ภาษาพูดและภาษาเขียน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หน้าที่ในการรัก “ภาษาไทย” ให้คงอยู่เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน ทุกเพศทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ ไม่จำกัดเฉพาะผู้มีบทบาทโดยตรงในการใช้ภาษาไทยอย่างครูภาษาไทย บรรณาธิการ ผู้ประกาศข่าว หรือผู้ดำเนินรายการ หรือไม่เฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้นที่จะต้องใช้ภาษาไทยให้ถูก เด็กหรือวัยรุ่น ก็ต้องใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องเช่นกัน
สำหรับ “ภาษาพูด” ผู้พูดควรเลือกใช้คำพูดให้เหมาะสมกับผู้ฟัง เวลา และสถานที่ ภาษาไทยมีเอกลักษณ์ที่มีระดับภาษา กล่าวคือ มีคำหลายคำที่สื่อความหมายอย่างเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น คำว่า “กิน รับประทาน ฉัน เสวย” ล้วนมีความหมายอย่างเดียวกัน คือ “การเคี้ยว กลืน” แต่มีการใช้ต่างกันออกไป คือ “กิน” ใช้ในกรณีที่ไม่เป็นทางการ “รับประทาน” ใช้ในกรณีที่เป็นทางการ “ฉัน” ใช้สำหรับพระภิกษุสงฆ์ “เสวย” เป็นคำราชาศัพท์ ผู้พูดต้องรู้จักเลือกใช้คำให้เหมาะสมกับผู้ฟัง ภาษาไทยยังมีเอกลักษณ์ที่มีคำควบกล้ำอย่าง “ร ล ว” ที่ผู้พูดต้องพูดให้ถูกต้อง มิเช่นนั้นอาจสื่อความหมายผิดได้ เช่น “เรียน” กับ “เลียน” หรือ “โรค” กับ “โลก” หรือ “ราว” กับ “ลาว” เป็นต้น ภาษาไทยยังมีเสน่ห์ที่คำลงท้าย ได้แก่ ค่ะ นะคะ ครับ นะครับ ที่แสดงถึงความนอบน้อม อ่อนโยน และมีสัมมาคารวะของผู้พูด ซึ่งช่วยให้การสื่อสารประสบความสำเร็จ เช่น หากผู้พูดต้องการให้ผู้ฟังให้อภัยในสิ่งที่ตนได้ทำผิดไป การพูดว่า ขอโทษค่ะ ขอโทษครับ ขอโทษนะคะ ขอโทษนะครับ ย่อมสามารถโน้มนาวใจผู้ฟังได้มากกว่าการพูดว่า “ขอโทษ” เพียงอย่างเดียว นอกจากนี้สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งของภาษาพูดคือ “น้ำเสียง” น้ำเสียงที่แตกต่างกัน เช่น การพูดห้วนกับการพูดมีหางเสียง ย่อมให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน แม้ผู้พูดจะพูดประโยคเดียวกันก็ตาม ดังนั้นผู้พูดควรคำนึงถึงน้ำเสียงขณะที่พูดด้วย
ทางด้าน “ภาษาเขียน” ปัจจุบันสื่ออินเตอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากต่อการเขียนภาษาไทย โดยเฉพาะกับกลุ่มวัยรุ่น ทั้งนี้อาจเป็นเพราะความไม่เป็นทางการของสื่ออินเตอร์เน็ตทำให้ผู้ใช้ละเลยที่จะเขียนภาษาไทยให้ถูกต้องเมื่อต้องการสื่อสารผ่านสื่อนี้ จึงมักพบการเขียนภาษาไทยแบบผิดๆ อาทิเช่น คำว่า “ให้” มักเขียนเป็น “หั้ย” คำว่า “ทำไม” มักเขียนเป็น “ทำมัย” “ทำอะไรอยู่” มักเขียนเป็น (ทามอารายอยู่) “ไม่จริง” มักเขียนเป็น “ม่ายจิง” เป็นต้น
แม้การเขียนดังกล่าวจะไม่ทำให้การสื่อสารความหมายผิดไป และเป็นการเขียนเพื่อสื่อสารกันเฉพาะในกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น แต่ผู้เขียนก็ควรเขียนให้ถูกต้องตามหลักภาษาไทย นอกจากนี้การสื่อสารในสังคมออนไลน์อย่างอินเตอร์เน็ตยังพบการใช้ภาษาที่ไม่เป็นทางการ ยกตัวอย่าง “ชิล ชิล” แทนความหมายถึงความใจเย็น ไม่ต้องรีบร้อนอะไร “เคเค” แทนความหมายถึงการตอบตกลง “อิอิ คริคริ” แทนอารมณ์ขันของผู้ส่งสาร การใช้ภาษาดังกล่าวผู้ใช้ต้องมีความระมัดระวัง ไม่ควรนำมาใช้เมื่ออยู่บริบทของการสื่อสารที่เป็นทางการ เนื่องจากไม่ใช่ภาษาไทยที่ถูกต้อง การใช้ภาษาดังกล่าวบ่อยครั้งเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้เกิดความเคยชินและนำมาใช้ในชีวิตประจำวันโดยไม่รู้สึกว่าเป็นการใช้ภาษาไทยที่ไม่ถูกต้อง สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ย่อมเป็นการบ่อนทำลายภาษาไทย
แม้การใช้ภาษาไทยจะมีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยและมีคำศัพท์ใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ แต่ผู้ใช้ภาษาไทยทุกคนไม่ควรหลงใช้คำศัพท์ใหม่ๆ จนละเลยคำศัพท์เดิมที่สื่อความหมายได้ถูกต้องชัดเจน เพราะหากไม่มีการใช้คำใดเป็นเวลานาน คำคำนั้นย่อมสูญหายไป ในทางตรงกันข้ามเมื่อมีคำศัพท์ใหม่เกิดขึ้น ผู้ใช้ภาษาไทยยิ่งต้องให้ความสำคัญการใช้คำศัพท์เดิม และตระหนักอยู่เสมอว่า การใช้คำศัพท์ใหม่ที่ไม่เป็นทางการนั้น เป็นการใช้ภาษาไทยที่ไม่ถูกต้อง เพราะภาษาไทยจะคงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อผู้ใช้ภาษาไทยทุกคน ช่วยกันใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง