ทักษะการเขียน (Writing Skills)
ความหมาย
การเขียน คือ การใช้ภาษาเพื่อสื่อสารถึงความรู้ ความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ต่างๆ จากผู้เขียนไปยังผู้อ่าน
ความสำคัญ
- ช่วยถ่ายทอดและบันทึกข้อมูล
- ช่วยพัฒนาสติปัญญาและอารมณ์
- ช่วยสร้างความเข้าใจ
- ช่วยอธิบาย
- ช่วยเล่าเรื่อง
วัตถุประสงค์ของการเขียน
1. แจ้งให้ทราบ (to inform)
2. ขอร้อง (to request)
3. ยืนยัน (to confirm)
4. โน้มน้าว (to persuade)
5. สอบถาม (to inquire)
6. ร้องเรียน (to complain)
การเขียนที่ดี… คือ เขียนให้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ ซึ่งอาจมีได้มากกว่าหนึ่งวัตถุประสงค์ เขียนให้ถูกต้องตามรูปแบบที่ควรจะเป็น เขียนให้เข้ากับคนที่จะอ่าน
ลักษณะการเขียนที่ดี
1. กำหนดวัตถุประสงค์ในการเขียน
2. เลือกรูปแบบการเขียนที่เหมาะสม
3. ใช้ภาษาเข้าใจง่าย
4. ใช้ภาษาเหมาะสม
5. พิจารณากลุ่มผู้อ่าน
6. จัดลำดับความคิด
7. เขียนอย่างชัดเจน
8. เขียนอย่างสมบูรณ์
9. เขียนอย่างสัมพันธ์
10. เขียนให้น่าสนใจ
ตัวอย่างการเขียนประเภทต่างๆ
1. เอกสารการติดต่อ (Correspondences)
- จดหมาย (Letter) - บันทึก (Memo)
- โทรสาร (Fax) - อีเมล์ (Email)
- เฟซบุ๊ก (Facebook) - ทวิตเตอร์ (Twitter)
2. เอกสารต่างๆ (Documents)
- โครงการ (Project)
- แผนงาน (Action Plan)
- รายงาน (Report)
เทคนิคการใช้ “จดหมาย/บันทึก” ติดต่อ (Correspondences)
1. ระบุวัตถุประสงค์ของการเขียน
2. ใช้รูปแบบการเขียนที่เหมาะสม
3. เน้นที่ผู้รับสารเป็นหลัก
4. จัดลำดับความคิดอย่างมีเหตุผล
5. ให้ข้อมูลสมบูรณ์ ครบถ้วนและเพียงพอ
6. ใช้หลัก ABCDEF (ถูกต้อง, สั้นกระชับ, ชัดเจน, ตรงไปตรงมา, เน้นข้อมูลที่สำคัญ, มีรูปแบบ)
7. มีความกลมกลืนทางเนื้อหา
8. มีสไตล์เป็นของตัวเอง
เทคนิคการเขียน “เอกสาร” ในรูปแบบต่างๆ (Documents)
1. ระบุวัตถุประสงค์ของการเขียน
2. ใช้รูปแบบการเขียนที่เหมาะสม
3. ใช้ภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจได้ง่าย
4. มีลำดับขั้นตอนและความต่อเนื่อง
5. ใช้หลัก SMART เข้ามาช่วย
Specific เฉพาะเจาะจง Realistic น่าเชื่อถือ
Measurable ผลลัพธ์ที่จะวัด Timeline มีกำหนดเวลา
Achievable ระบุวิธีบรรลุผล
แนวทางการเขียน
- คำพูด (Words)
เขียนให้กระชับ ชัดเจนถูกต้อง
- ประโยค (Sentences)
ใช้ประโยคหลากหลายรูปแบบ และควรใช้ให้ถูกต้องตามรูปแบบ
- ย่อหน้า (Paragraphs)
เขียนให้สอดคล้องและต่อเนื่อง มีการคุมความยาวของย่อหน้า
- โทนพูด (Tone)
เขียนสุภาพ เชิงบวก และจริงใจ
เทคนิคการเขียนสำหรับ “สื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยทั่วไป”
1. มีความไม่เป็นทางการ (Informality) อย่าเลือกใช้ผิดประเภท โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้องการความเป็นทางการ (Formality) ยกเว้นแต่ได้รับการยินยอมให้ใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์นี้
2. เขียนให้เข้าใจง่าย ใช้ภาษาอ่านง่าย ไม่ซับซ้อน
3. เขียนให้สั้น กระชับ ตรงประเด็น ไม่เยิ่นเย้อ
4. ตรวจสอบเป็นประจำเพราะเน้นความรวดเร็ว อย่าให้คอยนาน อาจแสดงการรับรู้ว่าได้รับแล้ว
5. ตรวจทานทุกครั้งก่อนส่ง เพราะสารไปไว แก้ไขลำบาก
6. ระวังภัยแฝงไปกับสื่อ เช่น ไวรัส อาจทำให้คนไม่เชื่อถือ
7. ข้อมูลจะคงอยู่ตลอดไป ค้นหาได้และอาจไปถึงมือผู้อื่นโดยมิได้ตั้งใจ ดังนั้น จึงต้องคิดก่อนส่ง
เทคนิคการเขียน “อีเมล์” (Email)
1. เน้นการให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน
2. เน้นเก็บไว้เป็นหลักฐานเพื่อยืนยัน ติดตามผลลัพธ์หรือสอบถามเพิ่มเติม
3. เน้นผู้รับที่ต้องการให้ได้รับสารเท่านั้น
4. เน้นความถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นภาษาเขียนหรือข้อมูลที่ส่งแนบไปด้วย
5. เน้นเขียนสั้นๆ ตรงประเด็น ไม่เขียนเยอะ
เทคนิคการเขียน “บล็อก” (Blog) ต้องคำนึงถึง…
1. ผู้อ่าน (Audience)
ให้ระบุชัดเจนว่า กลุ่มผู้อ่านเป็นใคร
2. วัตถุประสงค์ (Purpose)
กำหนดวัตถุประสงค์ว่า เขียนขึ้นมาเพื่ออะไร
3. ขอบเขต (Scope)
มีการจำกัดขอบเขตให้ไม่มากเกิน จนเสียจุดสำคัญที่มุ่งเน้น แต่ต้องไม่น้อยเกินไปจนไม่เปิดโอกาสให้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยน
เทคนิคการเขียน “เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์” (Facebook & Twitter)
1. เน้นการอัพเดทความเป็นไปในแต่ละวัน (status) การสร้างสัมพันธ์เครือข่าย (network) การแสดงความคิดเห็นส่วนตัว (opinion) การมีส่วนร่วม (participation) ในวงกว้างมากกว่าให้ข้อมูล
2. เน้นไม่เยอะเพราะเป็นสื่อประเภท Micro Media ที่เขียนได้ไวกว่า Blog และไม่นิยมเขียนเยอะ ถ้าเยอะควรเลือกเขียน Blog หรือส่งเป็นอีเมล์แทน
3. เน้นบ่งบอกความเป็นตัวตนหรือสไตล์ ซึ่งบอกได้ถึงความเป็นมืออาชีพ อาจนำพาไปซึ่งภาพลักษณ์ที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง หรือนำไปสู่การลอกเลียนแบบ
4. เน้นภาษาไม่เป็นทางการ อ่านแลดูเป็นกันเอง
ความหมาย
การเขียน คือ การใช้ภาษาเพื่อสื่อสารถึงความรู้ ความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ต่างๆ จากผู้เขียนไปยังผู้อ่าน
ความสำคัญ
- ช่วยถ่ายทอดและบันทึกข้อมูล
- ช่วยพัฒนาสติปัญญาและอารมณ์
- ช่วยสร้างความเข้าใจ
- ช่วยอธิบาย
- ช่วยเล่าเรื่อง
วัตถุประสงค์ของการเขียน
1. แจ้งให้ทราบ (to inform)
2. ขอร้อง (to request)
3. ยืนยัน (to confirm)
4. โน้มน้าว (to persuade)
5. สอบถาม (to inquire)
6. ร้องเรียน (to complain)
การเขียนที่ดี… คือ เขียนให้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ ซึ่งอาจมีได้มากกว่าหนึ่งวัตถุประสงค์ เขียนให้ถูกต้องตามรูปแบบที่ควรจะเป็น เขียนให้เข้ากับคนที่จะอ่าน
ลักษณะการเขียนที่ดี
1. กำหนดวัตถุประสงค์ในการเขียน
2. เลือกรูปแบบการเขียนที่เหมาะสม
3. ใช้ภาษาเข้าใจง่าย
4. ใช้ภาษาเหมาะสม
5. พิจารณากลุ่มผู้อ่าน
6. จัดลำดับความคิด
7. เขียนอย่างชัดเจน
8. เขียนอย่างสมบูรณ์
9. เขียนอย่างสัมพันธ์
10. เขียนให้น่าสนใจ
ตัวอย่างการเขียนประเภทต่างๆ
1. เอกสารการติดต่อ (Correspondences)
- จดหมาย (Letter) - บันทึก (Memo)
- โทรสาร (Fax) - อีเมล์ (Email)
- เฟซบุ๊ก (Facebook) - ทวิตเตอร์ (Twitter)
2. เอกสารต่างๆ (Documents)
- โครงการ (Project)
- แผนงาน (Action Plan)
- รายงาน (Report)
เทคนิคการใช้ “จดหมาย/บันทึก” ติดต่อ (Correspondences)
1. ระบุวัตถุประสงค์ของการเขียน
2. ใช้รูปแบบการเขียนที่เหมาะสม
3. เน้นที่ผู้รับสารเป็นหลัก
4. จัดลำดับความคิดอย่างมีเหตุผล
5. ให้ข้อมูลสมบูรณ์ ครบถ้วนและเพียงพอ
6. ใช้หลัก ABCDEF (ถูกต้อง, สั้นกระชับ, ชัดเจน, ตรงไปตรงมา, เน้นข้อมูลที่สำคัญ, มีรูปแบบ)
7. มีความกลมกลืนทางเนื้อหา
8. มีสไตล์เป็นของตัวเอง
เทคนิคการเขียน “เอกสาร” ในรูปแบบต่างๆ (Documents)
1. ระบุวัตถุประสงค์ของการเขียน
2. ใช้รูปแบบการเขียนที่เหมาะสม
3. ใช้ภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจได้ง่าย
4. มีลำดับขั้นตอนและความต่อเนื่อง
5. ใช้หลัก SMART เข้ามาช่วย
Specific เฉพาะเจาะจง Realistic น่าเชื่อถือ
Measurable ผลลัพธ์ที่จะวัด Timeline มีกำหนดเวลา
Achievable ระบุวิธีบรรลุผล
แนวทางการเขียน
- คำพูด (Words)
เขียนให้กระชับ ชัดเจนถูกต้อง
- ประโยค (Sentences)
ใช้ประโยคหลากหลายรูปแบบ และควรใช้ให้ถูกต้องตามรูปแบบ
- ย่อหน้า (Paragraphs)
เขียนให้สอดคล้องและต่อเนื่อง มีการคุมความยาวของย่อหน้า
- โทนพูด (Tone)
เขียนสุภาพ เชิงบวก และจริงใจ
เทคนิคการเขียนสำหรับ “สื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยทั่วไป”
1. มีความไม่เป็นทางการ (Informality) อย่าเลือกใช้ผิดประเภท โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้องการความเป็นทางการ (Formality) ยกเว้นแต่ได้รับการยินยอมให้ใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์นี้
2. เขียนให้เข้าใจง่าย ใช้ภาษาอ่านง่าย ไม่ซับซ้อน
3. เขียนให้สั้น กระชับ ตรงประเด็น ไม่เยิ่นเย้อ
4. ตรวจสอบเป็นประจำเพราะเน้นความรวดเร็ว อย่าให้คอยนาน อาจแสดงการรับรู้ว่าได้รับแล้ว
5. ตรวจทานทุกครั้งก่อนส่ง เพราะสารไปไว แก้ไขลำบาก
6. ระวังภัยแฝงไปกับสื่อ เช่น ไวรัส อาจทำให้คนไม่เชื่อถือ
7. ข้อมูลจะคงอยู่ตลอดไป ค้นหาได้และอาจไปถึงมือผู้อื่นโดยมิได้ตั้งใจ ดังนั้น จึงต้องคิดก่อนส่ง
เทคนิคการเขียน “อีเมล์” (Email)
1. เน้นการให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน
2. เน้นเก็บไว้เป็นหลักฐานเพื่อยืนยัน ติดตามผลลัพธ์หรือสอบถามเพิ่มเติม
3. เน้นผู้รับที่ต้องการให้ได้รับสารเท่านั้น
4. เน้นความถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นภาษาเขียนหรือข้อมูลที่ส่งแนบไปด้วย
5. เน้นเขียนสั้นๆ ตรงประเด็น ไม่เขียนเยอะ
เทคนิคการเขียน “บล็อก” (Blog) ต้องคำนึงถึง…
1. ผู้อ่าน (Audience)
ให้ระบุชัดเจนว่า กลุ่มผู้อ่านเป็นใคร
2. วัตถุประสงค์ (Purpose)
กำหนดวัตถุประสงค์ว่า เขียนขึ้นมาเพื่ออะไร
3. ขอบเขต (Scope)
มีการจำกัดขอบเขตให้ไม่มากเกิน จนเสียจุดสำคัญที่มุ่งเน้น แต่ต้องไม่น้อยเกินไปจนไม่เปิดโอกาสให้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยน
เทคนิคการเขียน “เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์” (Facebook & Twitter)
1. เน้นการอัพเดทความเป็นไปในแต่ละวัน (status) การสร้างสัมพันธ์เครือข่าย (network) การแสดงความคิดเห็นส่วนตัว (opinion) การมีส่วนร่วม (participation) ในวงกว้างมากกว่าให้ข้อมูล
2. เน้นไม่เยอะเพราะเป็นสื่อประเภท Micro Media ที่เขียนได้ไวกว่า Blog และไม่นิยมเขียนเยอะ ถ้าเยอะควรเลือกเขียน Blog หรือส่งเป็นอีเมล์แทน
3. เน้นบ่งบอกความเป็นตัวตนหรือสไตล์ ซึ่งบอกได้ถึงความเป็นมืออาชีพ อาจนำพาไปซึ่งภาพลักษณ์ที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง หรือนำไปสู่การลอกเลียนแบบ
4. เน้นภาษาไม่เป็นทางการ อ่านแลดูเป็นกันเอง